วิจารณ์วรรณคดีบทละครนอก เรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต
วิจารณ์วรรณคดีบทละครนอก
เรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต
บทละครนอก เรื่องสังข์ทอง
เป็นบทพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีทั้งหมด 9
ตอน ได้แก่ กำเนิดพระสังข์ ถ่วงพระสังข์ นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์ พระสังข์หนีนางพันธุรัต
ท้าวสามนต์ให้นางทั้งเจ็ดเลือกคู่ พระสังข์ได้นางรจนา ท้าวสามนต์ให้ลูกเขยหาปลาหาเนื้อ
พระสังข์ตีคลี และท้าวยศวิมลตามพระสังข์
เนื้อหาของเรื่องสังข์ทองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับหอยสังข์และต้องพบเจอกับภัยอันตรายมากมาย
แต่เพราะว่ามีบุญญาบารมี จึงรอดปรอดภัยมาได้ สิ่งที่ผู้วิจารณ์สนใจในเรื่องสังข์ทอง
คือการที่สังข์ทองถูกพญานาคส่งไปให้นางพันธุรัตซึ่งเป็นยักษ์หม้ายเลี้ยงดู โดยนางแปลงร่างเป็นหญิงงามและเลี้ยงดูพระสังข์อย่างดีตามใจทุกอย่างดังลูกแท้
ๆ ของนาง วันหนึ่งพระสังข์ได้รู้ความจริงเรื่องที่นางพันธุรัตเป็นยักษ์
จึงคิดหนี้เพื่อไปตามหาแม่แท้ ๆ ของตน และสังข์ทองได้ขโมยรูปเงาะ เกือกทอง ไม้พลอง
และหนีออกจากวังไป ทำให้นางพันธุรัตออกไปตามพระสังข์เพื่อขอให้กลับมาแต่สุดท้ายแล้วพระสังข์ก็ไม่ยอมกับทำให้นางพันธุรัตเขียนมหาจินดามนตร์ให้และอกแตกในที่สุด
ทำให้ผู้วิจารณ์เกิดคำถามว่าการกระทำของสังข์ทองนั้น
ถือว่าเป็นการเนรคุณนางพันธุรัตหรือไม่
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของนางพันธุรัตต่อสังข์ทองในสถานะของแม่เลี้ยง
บทละครนอก เรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต
นั้นรูปแบบคำประพันเป็นแบบกลอนสุภาพ มีการใช้คำศัพท์ทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจง่าย โดยกวีกำหนดให้ตนเป็นผู้พูดบรรยายบุรุษที่
3
ซึ่งจะไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นเพียงผู้เล่าเรื่อง กล่าวคือเป็นเพียงผู้บรรยายให้เห็นภาพว่าใครกำลังทำอะไรและมีรูปร่างลักษณะ
อุปนิสัยอย่างไร และตัวละครกำลังรู้สึกอย่างไร นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนที่เป็นบทพูดของตัวละครที่บางครั้งก็สอดแทรกร่วมกับการบรรยายของผู้พูดบรรยาย
หากพิจารณาบทละคร เรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต
ด้วยทฤษฎีรสทั้ง 9 นั้นจะเห็นได้ว่า
มีปรากฏรสดังนี้ ศฤงคารรส คือการรับรู้ความรักของตัวละคร ตัวอย่างเช่น การแสดงให้เห็นถึงความรักของพระสังข์ที่มีต่อนางพันธุรัตผู้เป็นแม่
แต่เพราะความจำเป็นต้องออกไปตามหาแม่แท้ ๆ จึงต้องหนีไป
๏
โอ้อนิจจามารดาเลี้ยง
เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงรักใคร่
แสนสนิทพิศวาสดังดวงใจ มิให้ลูกยาอนาทร
พระคุณล้ำลบจบดินแดน ยังมิได้ทดแทนพระคุณก่อน
วันนี้จะพลัดพรากจากจร มารดรค่อยอยู่จงดี
แม้นลูกไปไม่ม้วยมรณา จะกลับมากราบบาทบทศรี
ร่ำพลางทางทรงโศกี อยู่ที่ปราสาทเพียงขาดใจ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 119)
ภยานกรส คือ
การรับรู้ความหวานกลัว น่ากลัว ตัวอย่างเช่น
พวกพี่เลี้ยงเห็นนางพันธุรัตกลับมาหลังจาที่พระสังข์หนีไปทำให้พวกพี่เลี้ยงกลัวว่านางพันธุรัตจะฆ่าตี
หลังจากเล่าเรื่องที่พระสังข์หายไป
๏ บัดนั้น พวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
เห็นนางยักษามาแต่ไพร กลัวภัยภาวนาละล้าละลัง
แต่เขยื้อนขยับลับล่อ เข้าไปแล้วให้ท้อถอยหลัง
จึงก้มเกล้าเล่าเหตุให้ฟัง
พระลูกน้อยหอยสังข์นั้นหายไป
ข้าเที่ยวค้นหานักหนาแล้ว
จะพบพระลูกแก้วก็หาไม่
เล่าพลางต่างคนก็ร่ำไร
ของชีวิตไว้อย่างฆ่าตี
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540:
122)
เราทรรส คือ
การรับรู้ความโกรธหรือการกระทำที่รุนแรงของตัวละคร ตัวอย่างเช่น
หลังจากนางพันธุรัตรู้เรื่องเกี่ยวกับพระสังข์หายตัวไปจากพี่เลี้ยง ทำให้นางพันธุรัตโกรธมากแล้วว่ากล่าวพี่เลี้ยง
๏ เมื่อนั้น นางพันธุรัตยักษี
ได้ฟังดังจะสิ้นสมประดี เอออะไรกระนี้อีพี่เลี้ยง
กูไว้ใจให้อยู่กับลูกรัก
คอยพิทักษ์ถนอมกล่อมเกลี้ยง
ช่างละให้หายไปจากวังเวียง มันน่าเสี่ยงสับซ้ำให้หนำใจ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 122)
อัทภุตรส คือ
การรับรู้ถึงความอัศจรรย์ ตัวอย่างเช่น ตอนที่พวกยักษ์เห็นพระสังข์แล้วเกิดความรู้สึกถึงความตะลึงในความงดงามของพระสังข์
เพ่งพิศดูพลางไม่ว่างตา คิดว่าเทวาในไพรสนฑ์
ผิวพรรณผุดผาดประหลายคน ให้งวยงงฉงนสนเท่ห์ใจ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 125)
กรุณารส คือ
ความรู้สึกสงสาร การรับรู้ความทุกข์โศกของตัวละคร ตัวอย่างเช่น
ตอนที่นางพันธุรัตพยายามเรียกให้พระสังข์ให้ลงมาหา และนางพันธุรัตทั้งร้องเรียกพระสังข์ทั้งร้องไห้เสียใจ
๏
เมื่อนั้น
พันธุรัตขันสนเป็นนักหนา
แหงนดูลูกพลางทางโศกา
ดั่งหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย
โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ย
กรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไร
ก็ช่างเฉยเสียได้ไม่ดูดี
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540:
128)
หาสยรส คือ
การรับรู้ถึงความสนุก ขบขัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่เด็ก ๆ ลูกของชาวบ้านเจอกับเงาะป่า
และหยอกเล่นกับเจ้าเงาะอย่างสนุกสาน
รูปร่างหัวหูก็ดูแปลก
ลางคนว่าแขกกะลาสี
อย่าไว้ใจมันมักควักเอาดี
นึกกลัวเต็มทีวิ่งหนีพลาง
บ้างว่าอ้ายนี่ลิงทะโมนใหญ่
บ้างเถียงว่าทำไมไม่มีหาง
หน้าตามันขันยิงฟันฟาง
หรือจะเป็นผีสางกลางนา
คนหนึ่งไม่กลัวยืนหัวเราะ นี่เขาเรียกว่าเงาะแล้วสิหนา
มันไม่ทำใครดอกวา ชวนกันเมียงเข้ามาเอาดินทิ้ง
บ้างได้ดอกหงอนไก่เสียบไม้ล่อ ตบมือผัดพ่อล่อให้วิ่ง
ครั้นเงาะแล่นไล่โลดกระโดนชิง บ้างล้มกลิ้งวิ่งปะทะกันไปมา
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 128)
ดังนั้นรสที่ปรากฏในตอนนี้นั้นมีทั้งหมด 6 รส ได้แก่ ศฤงคารรส เราทรรส หาสยรส กรุณารส ภยารส และอัทภุตรส
เป็นการแสดงให้ถึงว่า เรื่องสังข์ทองนั้นเป็นวรรณกรรมบันเทิงอย่างหนึ่ง
แต่งเพื่อให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย
โดยในตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต นั้นส่วนใหญ่จะเป็น กรุณารส
เนื่องจากเป็นการอธิบายถึงนางพันธุรัตที่พยายามตามหาพระสังข์และอ้อนวอนให้พระสังข์ลงมาหาตน
นอกจากนี้ยังทำให้เห็นถึงความรักของนางพันธุรัตที่มีต่อสังข์ทองให้สถานะของแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างดี
ถึงกลับยอมแรกทุกอย่างขอเพียงได้กอดพระสังข์อีกสักครั้ง เพราะนางพันธุรัตรู้ดีว่าหากพระสังข์ไปแล้วนั้นก็อาจจะไม่กลับมาหาตนก็เป็นได้
ผู้แต่งได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความสิ้นหวังของนางพันธุรัตโดยผ่านบทสนทนาของนางพันธุรัต
ตัวอย่างอยู่ในส่วนของ กรุณารส ที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้
การที่สังข์ทองหนีนางพันธุรัตไปนั้น
เพราะต้องการกลับไปตามหาแม่แท้ ๆ และการที่พระสังข์ขโมยรูปเงาะ นั้นก็เพราะคิดว่าเป็นวิธีเดียวที่จะพาหนีไปจากเมืองยักษ์ได้
ซึ่งจะเห็นได้จากบทประพันธ์นี้
ซึ่งกูจะหลงอยู่ในเมืองยักษ์
แม้มมิลักรูปเงาะเหาะหนี
ที่ไหนจะได้เห็นชนนี
นับปีเดือนแล้วจะแคล้วไป
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 119)
โดยพระสังข์นั้นต้องหนี้ไปด้วยความหวาดกลัวว่านางพันธุรัตจะตามเจอ
จึงได้อธิฐานขอให้คุณพระมารดาปกป้องอย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น สุดท้ายแล้วนางพันธุรัตก็ตามหาจนเจอ
แต่ไม่สามารถเข้าใกล้พระสังข์ได้ทำให้นางพันธุรัตได้แต่อ้อนวอนของให้พระสังข์มาหาตน
แต่พระสังข์นั้นหวาดกลัวนางพันธุรัต และการที่พระสังข์ไม่ยอมลงมาหานางพันธุรัตนั้น
ผู้วิจารณ์คิดว่าเกิดจากความไม่เชื่อใจ เนื่องจากพระสังข์ได้รู้ความจริงว่านางพันธุรัตแท้จริงแล้วเป็นยักษ์ โดยที่นางพันธุรัตพยายามปกปิดเรื่องที่นางเป็นยักษ์มาโดยตลอด
แต่ถึงอย่างนั้นการที่พระสังข์ทำเหมือนจะไม่สนใจนางพันธุรัตนั้นก็ทำให้นางยิ่งกังวล
และเหมือนจะกลัวว่าพระสังข์จะรังเกียจตน
ซึ่งสุดท้ายแล้วการที่นางพันธุรัตอกแตกตายนั้นอาจจะมาจากการตรอมใจและรู้สึกสิ้นหวัง
ซึ่งหากถามว่าการกระทำของพระสังข์เป็นการเนรคุณต่อนางพันธุรัตหรือไม่นั้น
ผู้วิจารณ์คิดว่าพระสังข์ไม่ได้เนรคุณนางพันธุรัต เพียงแต่การกระทำบางอย่างอาจจะมองว่าพระสังข์นั้นเป็นคนเนรคุณก็จริงอยู่
แต่เมื่อศึกษาดูให้ดีแล้วนั้นการที่พระสังข์ไม่ยอมขอนางพันธุรัตว่าจะออกไปตามหาแม่แท้
ๆ นั้นเป็นเพราะพระสังข์รู้ดีอยู่แล้วว่านางพันธุรัตจะไม่ให้ไปเป็นแน่จึงต้องหาทางแอบหนีไป
และการที่ไม่ยอมลงไปหานางพันธุรัตนั้นก็เพราะความรู้สึกไม่เชื่อใจกลัวว่านางพันธุรัตจะโกหก
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนางพันธุรัตสิ้นใจพระสังข์ก็ตกใจมาและรีบลงมาหาและร้องไห้พร้อมทั้งกราบเท้านางพันธุรัตเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมทั้งสั่งให้จัดงานศพอย่างดีให้สมเกียรติกับนางพันธุรัต
ซึ่งทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพระสังข์นั้นก็ยังรักและเคารพนางพันธุรัตเหมือนกับแม่แท้
ๆ คนหนึ่ง
ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต
เป็นตอนที่หนึ่งที่แสดงให้ถึงความรักของคนเป็นแม่
ถึงแม้ว่านางพันธุรัตจะเป็นแม่เลี้ยงแต่ก็เลี้ยงดูพระสังข์ด้วยความรักเหมือนกับเป็นลูกในไส้ของตน
ถึงแม้พระสังข์จะหนีและขโมยของไปนั้น
ก็ยังไปตามหาด้วยความเป็นรู้สึกที่เป็นห่วงมากกว่าจะไปลงโทษพระสังข์
เห็นได้จากตัวอย่างต่อไปนี้
ยืนพินิจพิศเพ่งอยู่เป็นครู่
ลูกรักของกูแล้วสิหน่า
ตบมือหัวเราะทั้งน้ำตา
ร้องเรียกลูกยาด้วยยินดี
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 126)
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วนางพันธุรัตนั้นรู้ดีว่าตนใกล้จะสิ้นใจแล้ว
นางพันธุรัตก็ยังคงเป็นห่วงพระสังข์กลัวว่าถ้าจากอ้อมอกของนางไปแล้วจะลำบากจึงให้มนต์วิเศษที่เอาไว้ใช้เรียกสัตว์ในป่าคือ
มหาจินดามนต์ แก่สังข์ทอง
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักและความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ที่กลัวว่าลูกจะลำบาก
ถึงแม้ว่าตอนที่นางพันธุรัตใกล้จะสิ้นใจนั้น บทประพันธ์กล่าวว่า
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิต
ยิ่งคิดเคืองขุ่นมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพก นางร่ำร้องจนอกแตกตาย
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย,2540: 129)
คำว่า ทั้งรักทั้งแค้น
นั้นผู้วิจารณ์คิดว่าเป็นการสื่ออารมณ์แบบมีความรู้สึกแบบทั้งรักทั้งโกรธอยู่ในนั้น
กล่าวคือเพราะนางพันธุรัตรักพระสังข์มากทำให้ไม่คาดคิดว่าสังข์ทองจะแอบหนีไปพร้อมกับขโมยของของนางไป
จึงทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับโดนหักหลังจากคนที่รัก
และเพราะรักมากจึงทำให้สับสนในความรู้สึกและตรอมใจตายในที่สุด
ดังนั้นวรรณคดีบทละครนอก
เรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัต นั้นรูปแบบคำประพันเป็นแบบกลอนสุภาพ
มีการใช้คำศัพท์ทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจง่าย กวีกำหนดให้ตนเป็นผู้พูดบรรยายบุรุษที่ 3 คือเป็นผู้เล่าเรื่อง สังข์ทองเป็นวรรณกรรมบันเทิง
รสที่ปรากฏในตอนนี้นั้นมีทั้งหมด 6 รส ได้แก่ ศฤงคารรส
เราทรรส หาสยรส กรุณารส ภยารส และอัทภุตรส ซึ่งรสที่ปรากฏรสที่เด่นที่สุดคือ
กรุณารส และกระทำของพระสังข์นั้นผู้วิจารณ์คิดว่าไม่เป็นการเนรคุณต่อนางพันธุรัต
เพียงแต่พระสังข์เพียงแค่รู้สึกไม่เชื่อใจนางพันธุรัต แต่อย่างไรก็ตามพระสังข์นั้นก็ยังรักและเคารพนางพันธุรัตเหมือนกับแม่แท้
ๆ นอกจากนี้ในตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัตนั้นทำให้ผู้วิจารณ์ได้เห็นถึงมุมมองความรักของนางพันธุรัตที่มีต่อพระสังข์
โดยแสดงให้เห็นถึงความรักของคนเป็นแม่
ถึงแม้จะไม่ใช้ลูกแท้ ๆ แต่ก็รักและเลี้ยงดู ดูแลอย่างดี ถึงแม้นางพันธุรัตจะรู้สึกผิดหวังในตัวพระสังข์
แต่ก็ยังคงทำหน้าที่แม่ได้ดี
กมลรัตน์ กรุดสายสอาด
เอกสารอ้างอิง
พุทธเลิศหล้านภาลัย,
พระบาทสมเด็จพระ. 2540. บทละครนอกสังข์ทอง.
กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว
Betway Casino NJ Promo Code & Bonus Code - JTGHub
ตอบลบGet the best betway casino NJ 군산 출장마사지 promo 김제 출장마사지 code, no deposit bonus offers and promo code 전라북도 출장마사지 for December 충주 출장마사지 2021. Get more Betway 동해 출장마사지 casino NJ bonus