แนวคิดทางสังคมและวัฒนธรรมของฟูโกต์
แนวคิดทางสังคมและวัฒนธรรมของฟูโกต์
บทความวิจัยนี้ได้ศึกษางานเขียนของ
แกรี กัตติง(Gary Gutting) ที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนของ ปอล-มิแช็ล ฟูโกต์ (Paul-Michel
Foucault) นักปรัชญาชาวผรั่งเศษ ผู้ที่ได้นำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมในแง่มุม
หรือมุมมองที่แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์และนักวรรณคดี โดยเน้นศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดทางสังคมและวัฒนธรรม
ในบทที่ 2 (วรรณกรรม) บทที่ 5 (วงศาวิทยา)
และบทที่ 8 (อาชญากรรมและการลงทัณฑ์) ซึ่งทั้ง 3 บทที่กล่าวนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันในด้านอำนาจทางสังคม
บทที่ 2 วรรณกรรม เป็นบทที่แสดงถึงความสนใจในเรื่องวรรณกรรมโมเดิร์นพิสต์และการหนีจาก อัตลักษณ์เดิมของฟูโกต์
โดยเริ่มจากการนิยามนักเขียนซึ่ง มีความเกี่ยวข้องกับตัวบทที่ถูกสร้างขึ้น
แต่คำว่า “ตัวบท” ใช่ว่าจะเป็นงานเขียนของนักเขียนเสมอไปอาจเป็นงานเขียนทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ใช้ในชีวิตประจำวัน
เช่น รายการที่จะไปซื้อ
ข้อความที่นักเรียนเขียนส่งให้กันในชั้นเรียน ฯลฯ
จึงแสดงว่าตัวบทไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนเสมอไปที่เป็นผู้ผลิตขึ้นมา “แต่การเป็นนักเขียนเป็นเรื่องของการบอกว่าเป็นของผู้ รับผิดชอบ ตัวบทนั้นๆ”
กัตติง ได้อธิบายว่า “...ฟูโกต์จึงสรุปว่า
เราไม่ควรอย่างยิ่งที่จะพูดถึง “นักเขียน” แต่ควรพูดถึง “ บทบาทของนักเขียน” ( Author
Function )
กล่าวคือการเป็นนักเขียนมิใช่แค่มีความสัมพันธ์ในบางลักษณะกับตัวบท เช่น
เป็นผู้สร้างตัวบท
แต่การแสดงบทบาทที่สัมพันธ์กับตัวบทตามการนิยามของสังคมและวัฒนธรรม
ความเป็นนักเขียน (Authorship) จึงเป็นสิ่งที่สังคมกำหนด
มิใช่สิ่งที่มีมาและเป็นไปโดยธรรมชาติ และจะเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมและกาลเวลา” (แกรี กัตติง,2558: 31)
ซึ่งถือเป็นการสรุปรวมในเรื่องนักเขียนและตัวบทโดยมีสังคมและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดสถานะ
ฟูโกต์ยังกล่าวต่อไปถึงบทบาทของนักเขียนว่า
บทบาทของนักเขียนในตัวบทไม่ได้สอดคล้องกับตัวตนของผู้เขียนตัวบทนั้นในตัวบท “ที่มีผู้เขียน” ผู้เขียนต้องใช้หลายตัวตนเพื่อทำหน้าที่นักเขียน
เพราะอย่างนี้ในนวนิยายที่ผู้เขียนเป็นผู้เล่าเรื่อง “ฉัน/ข้าพเจ้า”
ที่เล่าเรื่องจึงเป็นคนละคนกับผู้เขียน” จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่านักเขียนไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในตัวเรื่องที่เขียนหรือเป็นตัวละครในเหตุการณ์ของเรื่อง
แต่นักเขียนสวมบทบาทในการเล่าเรื่อง เช่น ศรีบรูพา เขียนเรื่อง “ข้างหลังภาพ” โดยให้นพพรเป็นผู้เล่าเรื่อง “แน่นอนว่าคนเขียนตัวบทเป็นคนเดียวกัน แต่ในฐานะนักเขียน
เขาต้องสวมหลายบทบาทที่เชื่อมโยงกับหลายตัวตน “การแสดงบทบาทของนักเขียนเพื่อให้เกิดการกระจาย...ตัวตนที่หลากหลายที่ดำรงอยู่พร้อมๆกัน
(“What is
an Author?” EWI, 218)
ซึ่งในลักษณะเช่นนี้จะเห็นได้ทั่วในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น งานเขียนนิยายวัยรุ่น
ของสำนักพิมพ์แจ่มใสที่เน้นการเล่าเรื่องผ่านตัวเอกซึ่งเป็นผู้หญิง
(นางเอกของเรื่อง)
สิ่งที่น่าสนใจในบทนี้
คือ ปัญหาที่ฟูโกต์ตั้งไว้ว่า “ทุกครั้งที่ตั้งตัวบทว่า” ใครกำลังพูด” (ใคร-ที่อยู่ ณ
ตำแหน่งแห่งที่ใดในประวัติศาสตร์ พูดเพื่อประโยชน์ใด-ที่บอกว่าเราต้องฟังสิ่งที่เขาพูด?) (ที่ทางของสรรพสิ่ง The
Order Of Things) โดยคำตอบที่ว่าผู้ที่กำลังพูดคือ “คำ” (The Order of Things,2513: 305) ซึ่งคำเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดภาษา
โครงสร้างภาษาและผสมความคิดของนักเขียนจึงออกมาเป็น งานเขียน
คำสามารถสื่อถึงยุคสมัยของผู้ใช้ดูได้จากคำศัพท์
จำนวนคำศัพท์ที่มีอยู่ในงานเขียนหรือภาษาที่ใช้อีกทั้ง “ภาษาอาจมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่ทำให้เราพูดถึงบางเรื่องไม่ได้”
(แกรี กัตติง,2558: 33)
นั้นจึงอาจเป็นกรอบจำกัดทางภาษาที่ทำให้ภาษาไปไม่ถึงขอบทางไวยกรณ์ของภาษาก็เป็นได้
กัตติง กล่าวว่า“...เมื่อนักเขียนเขียนหลายอย่างที่เขากล่าวถึงจึงมิใช่เรื่องของปรีชาญาณหรือความสามารถอันโดดเด่นของเขาแต่เป็นผลมาจากภาษาที่เขาใช้”
(แกรี กัตติง,2558: 34)
นั้นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของยุคสมัยโดยดูจากคำที่ใช้
เพราะคำเป็นตัวบ่งบอกภาษาได้ดีและเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ตัวบทจึงเป็นสิ่งที่ภาษาผู้พูด นี้จึงอาจเป็นคำตอบที่ว่า “ใครกำลังพูด?”
กรอบทางภาษาเป็นอีกหนึ่งที่ให้ความสำคัญในบทนี้ โดยผู้เขียน ได้กล่าวไว้ว่า
ในแง่หนึ่งภาษาให้กรอบแก่การดำรงอยู่ในแต่ละวันของเรา
ผ่านโครงสร้างทั้งหลายที่ใกล้ตัวจนเราไม่ทันสังเกต ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าภาษาคือตัวกำหนดบรรทัดฐานของสังคม
และเป็นแบบแผนที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
โดยไม่มีใครสังเกตและเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไป
ซึ่งหากนอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นการเดินสวนทางกับสังคมหรือผิดออกไป
หรือเรียกอีกอย่างว่า “บ้า” ฟูโกต์บอกว่า “เราพูดถึงเรื่องที่ถูกเก็บไว้เป็นความเงียบได้มากน้อยแค่ไหน
(“A Preface Of Transgression” , EW
II,70) ก็คือ “คำต้องห้าม” เรื่องเพศนั้นเอง” (แกรี กัตติง,2558: 38)
เรื่องเพศก็เป็นเรื่องที่ควบคู่กับสังคมมาช้านาน
โดยสื่อออกมาผ่านงานศิลปะและงานวรรณกรรมโดยเรื่องเพศจะสื่อออกมานั้นจะเห็นทางด้านความงดงามและผลงานมากกว่าความอุจาด
แต่ในทางกลับกันหากสื่อเรื่องเพศในทางสุดโต่งก็จะกลายเป็นงานอุจาดอนาจารและรุนแรงเสียมากกว่า
ซึ่งงานดังกล่าวจึงกลายเป็นการออกนอกกรอบทางสังคมที่กำหนดไว้
"ขีดจำกัดของเราคือขีดจำกัดที่เราต่างรู้ว่าเราเป็นผู้กำหนด
ดังนั้น การออกนอกกรอบ(การก้าวล่วง) จึงมีความหมายแค่ขนบต่อตัวเอง ด้วย “การกระทำอันสามานย์ที่ว่างเปล่าและย้อนมาหาตัวเอง
ด้วยเครื่องมือที่ไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ” (EW II,70)
แต่ความไร้สาระของความพยายามนี้ก็ทำให้ประสบการณ์ที่ถูกจำกัดเข้มข้นขึ้นผ่านการละเมิดตรรกะทั้งปวง”
(แกรี กัตติง,2558: 39)
กัตติงได้เขียนเอาไว้
แสดงให้เห็น ความพยายามที่จะหลุดจากกฎเกณฑ์ที่เรียกว่ากรอบจำกัด
เหมือนดังหนูที่มีอาการต่อต้านยาเบื่อหนู
อันเนื่องจากการพัฒนาระบบในร่างกายให้มีความต้านทานจากยาเบื่อหนูซ้ำไปซ้ำมา
กัตติงยังได้กล่าวอีกว่า
การล้วงล่ำกรอบ ความย้อนแยง และการกระจัดกระจายของอัตภาวะ มาประจวบกันในประสบการณ์ที่ถูกจำกัดของความบ้า
ของผู้ที่เรามักพูดว่า “หลุดจาดโลก” ซึ่งเหตุผลดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับ สาย สีมา ที่มีความคิดที่แตกต่าง
จากผู้ที่มีความศึกษาในยุคนั้น (ประมาณ 2500)
จึงเป็นที่มาของคำว่า “ปีศาจ” อันเนื่องมาจากการไม่เป็นไปตามกรอบทางสังคมนิยม
(ปีศาจ เสนีย์ เสาวพงษ์)
ดังนั้นการล้วงล้ำกรอบ จึงมีค่าเท่ากับความบ้า หรือ หลุดจากโลก ก็แสดงว่า “การอยู่ในกรอบก็คือการยอมรับการจำกัดเพียงแค่นี้
และไม่สามารถที่จะเกินไปกว่านี้ แม้กระทั่งความคิด”
ในบทนี้
กัตติงได้กล่าวในเชิงสรุปว่า ความตื่นตาตื่นใจกับวรรณกรรมแนวก้าวหน้าของฟูโกต์เป็นแง่มุมหนึ่งของการพยายามค้นหาความจริงและการบรรลุความจริงนั้นจากประสบการณ์
(ที่ถูกจำกัด) อย่างสุดโต่งนอกเหนืออาณาบริเวณของการใช้ชีวิตตามปกติ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นการเปิดประตูสู่ความเปลี่ยนแปลง ทางทัศนะแห่งโลกทางวรรณกรรม
บทที่ 5 วงศาวิทยา เป็นบทที่นำเสนอ
ความหมายของวงศาวิทยา ผ่านการศึกษาทางประวัติศาสตร์ และอำนาจกับความรู้
โดนเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า วงศาวิทยาของฟูโกต์และนิทเชอมีแนวคิดเหมือนกัน?
โดย กัตติงได้นำเสนอไว้ในงานศึกษาของตนเองว่า
“...ฟูโกต์ไม่เคยให้อรรถาธิบายวงศาวิทยาอย่างที่เคยเขียนเกี่ยวกับโบราณคดีวิทยาใน
โบราณคดีวิทยาความรู้ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรศึกษาวงศาวิทยาของฟูโกต์จากการทำงานประวัติศาสตร์ของเขาไม่ใช่อ่านสิ่งที่เขาพูดไว้ที่โน่นนิดที่นี่หน่อยและอย่างไม่ค่อยจะคงเส้นคงวา
ถ้าใช้วิธีนี้ เรื่องแรกที่เราสังเกตเห็นได้คือ ในบรรดางานเขียนของเขา
มีเพียงชิ้นเดียวที่ฟูโกต์ใช้วิธีการศึกษานี้อย่างชัดเจนและคงเส้นคงวา
นั่นคือในงานประวัติศาสตร์คุกเรื่อง วินัยและการลงทัณฑ์”
(แกรี กัตติง, 2558: 81)
ซึ่งมันเกี่ยวข้องอะไรละกับคำว่าวงศาวิทยา? แกรี กัตติง ได้กล่าวว่า
วินัยและการลงทัณฑ์ของฟูโกต์เองแสดงให้เห็นว่าในบรรดาปัจจัยต่าง ๆ
การประดิษฐ์ปืนยาวแบบใหม่
การบริหารจัดการพื้นที่ในโรงพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
และการเปลี่ยนวิธีการสอนการดัดลายมือให้เด็ก ๆ
ล้วนส่งผลอย่างคาดไม่ถึงต่อการก่อตัวของระบบควบคุมทางสังคม
แบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม จึงอาจเป็นไปได้ว่าสังคมอาจนำระบบการจัดการที่เรียกว่า
“วินัย” มาใช้ในการอำนวย การจัดระเบียบทางสังคม โดน วินัย
ที่ว่านั้นอาจจะมาจากการควบคุมภายในคุกและแพร่ขยายออกมาสู่สังคมภายนอก
กัตติงยังบอกต่ออีกว่า
เป้าของเหตุปัจจัยคือร่างกายของมนุษย์ ตัวอย่างเช่นการลงทัณฑ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้ความรุนแรงกับร่างกาย การแยกเป็นส่วน ๆ การประหารชีวิต
ขณะที่ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 การลงทัณฑ์นุ่มนวลขึ้นแต่ยังกระทำต่อร่างกาย
นักโทษต้องอยู่ใต้ระบบที่เข้มงวด ซึ่งออกแบบมาเพื่อผลิต “ร่างกายที่เชื่อม” (docile
bodies) ซึ่งเป็นการยกตัวอย่างที่มีการแบ่งช่วงเวลา
และเปรียบเทียบที่แสดงถึงการลดทอนความรุนแรง แต่ยังคงระบบเดิมอยู่คือ การกระทำต่อร่างกาย
ร่างกายของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เข้มแข็งและบอบบางได้เสมอ และเป็นสิ่งที่สามารถลงโทษให้เกิดความกลัวและไม่กล้าทำในสิ่งนั้น
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าร่างกายมนุษย์เหมาะสมแก่การลงทัณฑ์
จึงนำไปสู่ความหมายของวงศาวิทยาที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า
วงศาวิทยาของฟูโกต์จึงเป็นการอธิบายสาเหตุและผลลัพธ์
เชิงประวัติศาสตร์ที่เป็นวัตถุนิสัย หลายทิศ และถึงเนื้อถึงตัว
วงศาวิทยาของฟูโกต์และนิทเชอไม่ได้มีแนวคิดที่เหมือนกันตรงที่
งานของนิทเชอไม่ได้เป็นงานละเอียดรอบคอบจากเอกสารอย่างเช่นฟูโกต์ แต่เป็นการคาดเดา
กัตติง ได้กล่าวต่ออีกว่าวงศาวิทยาของ
นิทเชอ ใช้ปัจจัยทางจิตวิทยา (ความพยองและความทะเยอทะยานของผู้มีอำนาจ
ความเคืองแค้นของผู้ไร้อำนาจ ความฉลาดที่ชั่วช้าของเหล่านักบวช)
ซึ่งแทบไม่เกี่ยวกันเลยกับประวัติศาสตร์ร่างกายของฟูโกต์
ดังนั้นวงศาวิทยาของฟูโกต์กับนิทเชอนั้นจึงแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ฟูโกต์ สรุปจุดยืนทางคุณค่าของวงศาวิทยาโดยกล่าวว่า
วงศาวิทยา คือ “ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน” (Discipilne and
Punish, 2520: 30-31) ในสองความหมาย ความหมายแรก
วัตถุของการศึกษาของประวัติศาสตร์ คือต้นกำเนิดของกฎ การปฏิบัติ
หรือสถาบันที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันและอ้างว่ามีอำนาจเหนือเรา ความหมายที่สอง
เจตนาหลักของวงศาวิทยา ไม่ใช่การเข้าใจอดีต แต่เพื่อเข้าใจและประเมินปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อทำลายความชอบธรรมของอำนาจที่ไม่อาจอธิบายตัวมันเองได้
กัตติง กล่าวว่า “...การศึกษาความรู้ด้วยวิธีโบราณคดีวิทยาทำให้ฟูโกต์เห็นอำนาจเป็นตัวการทำให้กรอบความคิดพื้นฐาน
(epistemes หรือรูปแบบของวาทกรรม)
ที่เป็นพื้นฐานของความรู้ของเราเปลี่ยน” (แกรี กัตติง, 2558:
89)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอำนาจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความรู้ ใช่จะเป็นการควบคุมอย่างเดียว
เช่น เรื่องกฎหมายที่ใช้ควบคุมประชาชน เป็นต้น นั้นจึงบอกได้ว่า
อำนาจและความรู้เป็นสิ่งที่ไปควบคู่กัน
ในตอนท้ายของบท กัตติงยังได้กล่าวย้ำอีกว่าอำนาจและความรู้เป็นสิ่งที่ไปกนได้
โดยกล่าวว่า การที่การรับรู้ของเราเป็นผลของอำนาจไม่ได้ทำให้การรับรู้ของเราเข้าสู่อาณาบริเวณของความรู้ไม่ได้
อำนาจและความรู้นั้นเป็นสองสิ่งที่ไปด้วยกันได้
บทที่ 8 อาชกรรมและการลงทัณฑ์
เป็นบทที่เห็นความหมาย วินัยและการลงทัณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อสังคม
โดยเริ่มตัวจากประโยคที่คำพูดของฟูโกต์ที่ว่า อำนาจในการลงโทษ
โดยเนื้อแท้ก็ไม่ต่างจากอำนาจในการรักษาหรือกล่อมเกลา
จากประโยคดังกล่าวจึงดูเหมือนกับเป็นข้อดีของอำนาจที่เป็นสิ่งขัดเกลา
และกำหนดว่าสิ่งใดไม่ควรที่จะกระทำ
ผู้เขียนได้กล่าวถึงวิธีการลงโทษในยุโรปประมาณการคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้วิธีแบบที่ต่างจากยุคก่อนหน้านี้และเน้น
การทารุณและความรุนแรงต่อร่างกายและประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณะชนเป็นเยี่ยงอย่างการแสดงอำนาจของผู้ที่อยู่เหนือการปกครอง
โดยวิธีการทำโทษ มีความ “นุ่มนวล”
กว่าเดิมแต่ส่งผลทางจิตใจ เช่น การคุมขัง แทนการทรมาน
วิธีการลงทัณฑ์ดังกล่าวจึงแปรสภาพกลายเป็น “วินัย” (Discipline)
“...ด้านมืดดำกว่าวิถีที่
“นุ่มนวลขึ้น” คือความกระหายที่จะควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระดับหนึ่ง
ที่เป็นสัญญาณการเปลี่ยนจากการลงทัณฑ์ ต่อร่างกายอย่างโหดเหี้ยม ทวาไร้จุดหมาย
ไปสู้มาตรการที่เจ็บปวดทรมานน้อยลงแต่รุกคืบเข้ามาควบคุมจิตใจมากขึ้น” (แกรี กัตติง, 2558: 133) จากข้อความที่ผู้เขียนได้กล่าวมานั้น
มันการสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งของการลงทัณฑ์แบบสมัยใหม่
ที่แม้ไม่ได้ป่าเถื่อนแบบสมัยก่อน แต่ก็เป็นสิ่งที่เน้นส่งผลกระทบต่อจิตใจ
และเป็นอะไรที่ง่ายต่อการควบคุม นั้นจึงเป็นต้นแบบในการควบคุมทางสังคม
ข้อเสนอที่เด่นชัดที่สุดของ “...วินัยและการลงทัณฑ์ คือเทคนิคในการสร้างวินัยที่เริ่มใช้กับอาชญากรได้กลายเป็นตัวแบบของพื้นที่ควบคุมอัน
(โรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน เป็นต้น) วินัยคุกจึงรุกคืบไปทั่วสังคมสมัยใหม่
ฟูโกต์กล่าวว่าเราใช้ชีวิตในหมู่เกาะทัณฑ์นิคม (Carceral arehipelago) (Discipilne and Punish,
2520: 138)” (แกรี
กัตติง, 2558:
134) อาจจะจริงที่ผู้เขียนและฟูโกต์ได้กล่าว
ถ้าเช่นนั้นวินัยคุกก็คงไม่แตกต่างอะไรกับวินัยทหาร
ซึ่งเผลอๆอาจจะเป็นต้นแบบการควบคุมทางทหารในปัจจุบัน “...ฟูโกต์สรุปว่าแนวคิดเรื่องวินัยในสังคมสมัยใหม่มีเป้าหมายเพื่อสร้าง
“ร่างกายที่เชื่อม”(Docile
bodies) คือร่างกายที่ไม่เพียงทำสิ่งที่เราต้องการ
แต่ยังทำด้วยวิธีการที่เราต้องการให้ทำด้วย (Discipilne and Punish, 2520:
138)” (แกรี กัตติง, 2558: 138)
ความกลัวว่าจะถูกตัดสินว่าผิดปกติกำกับพวกเรา คนในยุคใหม่ทุกฝีก้าว
เป็นอีกหนึ่งข้อความที่ กัตติงแสดงถึงการควบคุมทางอำนาจที่ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกว่าถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาที่ย่างก้าวในชีวิต
หากนอกเหนือจากนั้นก็จะถูกมองว่าผิดปกติ แม้จะเป็นการกระทำทั่ว ๆ ไป โดย
ฟูโกต์ได้กล่าวว่า “...การจ้องมองที่ก่อให้เกิดความเป็นปกติตามมาตรฐาน (normalizing
gaze) [ที่]
สถาปนาการมองเห็นเหนือปัจเจกบุคคล แยกแยะพวกเขาเป็นประเภทและตัดสิน”
(Discipilne
and Punish, 2520: 184)
วินัยและการลงทัณฑ์ คือความคิดว่าตัวแบบของคุก
ได้ลุกลามไปทั่วสังคมสมัยใหม่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอำนาจควบคุมแบบสมัยใหม่
โดยมีแนวคิดจากคุกที่คุมขังนักโทษ และครอบงำสังคมทุกคนทุกชนชั้น
แบบเบ็ดเสร็จและเด็จขาด
กัตติง ยังได้กล่าวถึง เรื่องคนชายขอบ
(the
marginal) ของฟูโกต์ ว่าก็คือคนปกติทั่วไปที่ใช้ชีวิตในสังคมแต่กลับค้างเติ่งอยู่ตรงขอบทางสังคม
(นอกกรอบสังคม) ด้วยสองเหตุผล
คือคนที่ใช้ชีวิตหรือถูกนิยามว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่สวนกระแสของสังคม เช่น
กลุ่มคนรักร่วมเพศ คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาแบบเดียวกับสังคม
คนที่อพยพมาจากประเทศอื่น ๆ (ชาวต่างด้าว)
และสองคนที่สวัสดิภาพชีวิตที่ต่ำกว่าคนในสังคม เช่น แรงงานต่างดาว เด็กในสลัม
โสเภณี นักโทษทั้งในเรือนจำและนักโทษที่ออกจากคุก ผู้เขียนยังบอกอีกว่า
คนชายขอบต่างจากคนบ้า
เพราะเขายึดถือคุณค่าที่สามารถท้าทายและสั่นคลอนค่านิยมของเรา (สังคม) ความเป็นคนชายขอบ
(marginaliy) คือความผิดพลาด (error)
ในทางการเมือง ความผิดพลาดไม่ใช่เป็นแค่เท็จของข้อเสนอหนึ่ง
แต่ยังหมายถึงสิ่งที่ไม่ใช่ภาษาคือ
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือค่านิยมที่นอกลู่นอกทาง สิ่งที่กล่าวมาเรื่องคนชายขอบ
จึงดูเหมือนเป็นอะไรที่คับแคบมาก และเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้เลยว่ากระแสสังคมคือ
การตัดสินด้วยอารมณ์มากกว่า
ดังนั้นทั้งสามบทไม่ว่าจะเรื่อง
วรรณกรรม เรื่อง วงศาวิทยา และเรื่อง อาชญากรรมและการลงทัณฑ์
มีความเกี่ยวข้องกันในทางด้านอำนาจทางสังคมที่เป็นตัวกำหนด สิ่งเหล่านี้
เริ่มจากบทที่ 2 วรรณกรรม ซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอำนาจทางสังคม
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นและมีส่วน คือ กรอบทางภาษา
ที่เป็นตัวกำหนดแบบแผนการใช้และบรรทัดฐานทางสังคมอย่างจำกัด
ซึ่งกรอบทางภาษาก็ทำงานแบบเดียวกับอำนาจตรงที่หากใช้ภาษาที่นอกเหนือจากที่กำหนด
ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เข้าพวกผิดแยกไปจากแบบแผน หรือเรียกได้ว่า
กรอบทางภาษาเป็นสิ่งที่จำกัดความทางความคิด (กรอบทางความคิด)
ซึ่งบทที่5 วงศาวิทยา
เป็นอีกบทหนึ่งที่ได้ให้เหตุผลว่า ตัวการที่ทำให้เกิดกรอบทางความคิด
ที่นี้คืออำนาจ และอำนาจเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ อีกทั้งวงศาวิทยา
ยังเป็นบทที่แสดงความเป็นมา สาเหตุและผลลัพธ์ทางประวัติศาสตร์จนนำเข้าไปสู่บทที่8
อาชญากรรมและการลงทัณฑ์
ก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับอำนาจเช่นกันแต่ในที่นี้เป็นอำนาจการควบคุมทางสังคมที่เกิดจากระบบวินัยภายในเรือนจำ
และแพร่ขยายออกมาสู่โลกภายนอก จนกลายเป็นแม่แบบในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิต อีกทั้ง
การควบคุมของอำนาจก็ยังเป็นรูปแบบเดียวกับบทที่ 2 หากนอกเหนือไปกว่านั้น
ก็จะน้องมองว่าผิดปกติ เช่นเดียวกับ กรอบทางภาษาหากผิดแยกออกไปก็จะเรียกว่า “บ้า”
ซึ่งทั้งสามบทที่กล่าวมานั้น
ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดทั้งสิ้น และสิ่งที่จำกัดนั้น คือ
อำนาจที่สังคมเองเป็นผู้กำหนดตามกระแสและความต้องการของสังคมนั้นเอง
อำนาจทุกสิ่งข้อจำกัดทุกอย่าง หรือ
การนิยามในเรื่องนั้นๆก็ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นตามความพึงพอใจที่ตนปรารถนา
และไม่ยอมรับในความแตกต่างทางสังคม ดังนั้น อำนาจควบคุมทางสังคมเป็นสิ่งที่มนุษย์หรือสังคมกำหนดด้วยอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าความคิด
อ้างอิง
แกรี กัตติง. (2558). ฟูโกต์: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพ: โอเพ่นเวิลด์ส
ok
ตอบลบ